Monday, October 02, 2006

หน้าที่ความเป็นมนุษย์

บทนำ blog นี้ได้นำสิ่งที่ฟังจากคุณโสภณมา (ตามสิ่งที่ผมจำได้) บวกกับสิ่งที่ผมคิดเข้าไป

พอดีเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาได้ดูรายการ the icon แขกรับเชิญที่มาก็คือ คุณโสภณ สุภาพงษ์ ตอนแรกที่เปิดไปเจอก็ดูๆๆ คิดว่าวันนี้ใครมาเป็นแขกรับเชิญนะ เพราะทุกทีรายการนี้เชิญแขกรับเชิญมาล้วนแต่เป็นบุคคบที่มัชื่อเสียงทั้งสิ้น พอเปิดมาเจอก็ฟังไปสักพัก พอดีคุณโสภณเล่าเรื่องที่ พล.อ. เปรม ได้ไปพบกับคุณโสภณที่ห้องทำงาน ซึ่งคุณโสภณบอกว่าตอนนั้นคุณโสภณ ก็ไม่รู้ว่าใครเข้ามาที่ห้องทำงาน แต่ไม่ใช่ว่าคุณโสภณ ไม่รู้จัก พล.อ. เปรม นะ คุณโสภณ รู้จัก พล.อ. เปรม ซึ่งขณะนั้น พล.อ. เปรม เป็นนายกรัฐมนตรี แต่คุณโสภณ ไม่เคยพอตัวจริงของ พล.อ. เปรม เลยไม่รู้ว่าท่าคือ พล.อ.เปรม พล.อ.เปรม มาถึงห้องทำงานของ คุณโสภณ แล้วก็ได้บอกว่าวันไหนว่างๆ ไปทานข้าวด้วยกัน ซึ่งพอไปทานข้าวด้วยกัน พล.อ. เปรม ได้ชวน คุณโสภณ มาทำงาน ซึ่งพล.อ.เปรมบอกว่า (ประมาณว่า) คนจนยังมีอีกเยอะแยะมากมาย เรามาชวนกันแก้ปัญกาของคนยากจนดีกว่าไหม ที่ผมพูดถึงตรงนี้ก็เพราะว่าผมคิดว่าคุณโสภณเป็นบุคคลท่านหนึ่งที่มีความสามารถ พล.อ.เปรมถึงเรียกมาร่วมงานด้วย บวกกับสิ่งที่ผมฟังตรงนี้เป็นสิ่งเริ่มที่ที่ให้ผมฟังคุณโสภณต่อ (ไม่เปลี่ยนช่อง) จนได้แง่คิดอะไรบางอบ่างเพิ่มขึ้นมา

คุณโสภณ กล่าวว่าสมองมนุษย์เราแบ่งได้เป็น 3 ส่วนใหญ่ๆ คือ ส่วนในสุดเรียกว่า
  • เลฟทาเรีย (ไม่ีรู้เขียนถูกไหม) เป็นสมองที่อยู่ด้านในสุด มีขนาดเล็ก สมองส่วนนี้เป็นสมองที่สัตว์เลื้อยคลานทั่วไป สมองส่สวนนี้สั่งการให้มนุษย์ทำตามสัณขาตญาณ อารมณ์
  • แมมมาเลีย เป็นสมองที่อยู่ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ซึ่งสมองส่วนนี้ทำใ้มีความจำ เช่นสุนัข ทำให้สุนัขสามารถฝึกได้
  • นีโอคอนเทก สมองส่วนนี้เป็นส่วนนึกคิด จิตสำนึก สมองส่วนนี้เป็นส่วนที่ใหญ่ที่สุดของมนุษย์ ที่มนุษย์มีความคิด พัฒนาการ ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ก็เป็นเพราะสมองส่วนนี้ และสมองส่วนนี้ทำให้มนุษย์ต่างจากสัตว์ทั้วไป
ซึ่งสมองส่วนไหนถูุกใช้งานมากแล้วสมองส่วนนั้นๆ ก็จะมีการขยายขนาดมากขึ้น (ใหญ่ขึ้น) ซึ่งสอดคล้องกับที่ว่า ถ้าใครมีจิตสำนึกมากๆๆ ใช้ความคิด คนคนนั้นเวลาจะทำอะไรก็ใช้ใช้จิตสำนึกก่อน ก็้เพราะว่าเค้าใช้จนเป็นนิสัย แต่ที่มาจริงที่ทไให้เค้าเป็นคนเช่นนั้นเพราะว่า การที่เึค้าใช้สมองส่วนนีโอคอนเทกมากๆ ทำให้สมองส่วนนีโอคอนเทกซ์ ใหญ่จึงจึงทำให้เป็นคนเช่นนั้น หรือในอีกแง่หนึ่งคือ คนใดใช้่แต่อารมณ์ หรือสัณชาตญาณ สมองส่วนเลฟทาเลียก็จะโต คนคนนั้นก็จะเป็นที่มใช้แต่อารมณ์ ก็ตรงกับที่ว่าใครใช้แต่อารมณ์แล้วคนคนนั้นก็จะติดนิสัยการใช้อารมณ์ ทำให้เวลามีอะไรเกิดขึ้นก็จะใช้แต่อารมณ์ ซึ่งไม่ใช่ว่าเค้าติดนิสัยการใช้อารมณ์แต่เป็นเพราะเค้ามีสมองส่วนเลฟทาเลียใหญ่มากขึ้น ความคิดของคุณโสภณตรงนี้ทำให้สิ่งที่ผมเคยคิดเอาไว้ว่าใครที่ทำเช่นไรบ่อยๆ ก็จะเป็นคนเช่นนั้นผมคิดมาโดยตลอดว่าเป้นเพราะเค้าทำบ่อย รวมทั้งเค้าเป็นคนเช่นนั้นมาก่อน เค้าจึงเป็นเช่นนั้น แต่ที่จริงมีสื่งที่อธิบายได้นั้นก็คือสมองนั่นเอง เขียนตรงนี้ทำให้ผมนึกถึงอีกเรื่องหนึ่งที่คุณโสภณพูดเอาไว้คือเมื่อเราใช้สมองส่วนใดมากๆๆ (ทำเช่นไรมากๆ) แ้ล้ว นอกจากจะทำให้สมองส่วนนั้นใหญ่ขึ้น (เราเป็นคนเช่นนั้น) ยังทำให้นิสัยอย่างนั้นถูกถ่ายทอดไปยัง DNA ซึ่งถูกส่งต่อไปยังลูก หลาน ได้ นี่แหละถึงมีคำที่บอกว่า "พ่อแม่เป็นอย่างไร ลูกก็เป็นอย่างนั้น"

คุณโสภณ ยังกล่าวอีกว่าคนเราแบ่งได้เป็น 6 ระดับ แต่ที่เค้าพูดถึงจริงๆ ในรายการมีแค่ 3 ระดับเอง คือ
ระดับแรกคือคนที่ใช้ อำนาจ เงิน อำนาจคือนาย เงินคือ ทุน หรือก็ นายทุนนั่นเอง
ระดับถัดมา คือคนที่ใช้ เหตุผล
ระดับถัดมาคือคนที่ใช้จริยธรรม ความรัก

แม่รักลูกแบบความรักไม่มีเหตุผล อย่างที่แม่วิ่งไปช่วยลูกในทะเลตอนที่เกิดซึนามิ (คุณโสภณเล่า) แม่ไปช่วยลูกด้วยความสุขด้วยความเต็มใจแม้รู้ว่าไปแล้วจะเสียชีวิตก็ตาม เพราะว่าถ้าไม่ไปช่วยลูกแล้วปล่อยอย่างนั้น จะทำให้แม่ไม่มีความสุขเลย กลับเป็นทุกข์ด้วย ที่ไปช่วยลูกไม่ใช่เพราะเหตุผลแต่เป็นเพราะแม่รักลูก แต่ผมก็คืดนนะว่าที่แม่ไปช่วยลูกก็เพราะเหตุผลว่าแม่รักลูก แต่ว่าอย่างไรก็ตามที่เรารู้ก็คือแม่ รัก รัก และก็รักลูก
คุณโสภณยังเล่าอีกว่า มีคนนึง (จำชื่อไม่ได้แล้วเหมือกัน) เวลาอวยพรในงานแต่งงานเค้าจะไม่อวยพรว่า "ขอให้ใช้เหตุผลเวลาอยู่ด้วยกัน" อย่างที่คนอื่นส่วนมากเค้าอวยพรกัน แต่จะอวยพรว่าขอให้ใช้ความรักในการอยู่ด้วยกัน นี่แหละ "ความรักเหนือเหตุผล"