Thursday, December 21, 2006

สัมมนาปลายปี@ingres(Thailand)...วันสอง

เข้าสู่วันที่ 2 ก็เป็นวันเที่ยวอีกวันหนึ่งของเราๆ มาสู่การออกเดินทางของวันนี้ ตอนแรกกะว่าจะไปเที่ยวพร้อมๆ พี่เค้าซึ่งพี่ๆเค้าไปทุ่งทานตะวันกัน (มั้ง) แต่พวกเราแแกเดินทางไปไม่ทันพวกพี่ๆเค้าเลยไปเที่ยวกันเอง ซึ่งก็ครั้งนี้เราได้ไปขับรถ ATV ซึ่งเป็นรถ offroad ลุยๆ มันๆ ซึ่งค่าบริการนั้น 2 รอบ 150 บาท ทุกคนก็ไปขับกันตอนขับไอ้ชาญขับตกเขาซะงั้น แต่เวลาขับไปต้องระวังเรื่องขี้โคลนด้วยขับไม่ดีเลอะมากมาย
พอจบ 2 รอบทุกคนก็อยากขับอีกก็เลยไปขับอีกรอบ คราวนี้ขับแข่งกัน เวลาขับตามคนอื่นนะ ทั้งฝุ่นทั้งโคลน สุดๆ จบท้ายด้วยการถ่ายรูปกันเช่าเคย

และเราก็เดินทางกลับที่พักเพื่อไปกินอาหารกลางวันกัน พอกินข้าวเสร็จเราก็กะกันว่าจัไปขี่จักรยานเล่นกัน แต่พอไปถึงที่เช่าจักรยานก็พบว่ามีจักรยานไม่พอ ก็เปลี่ยนแผนไปสู่การเดินไปน้ำตกเจ็ดคตใหญ่กัน ถามเจ้าหน้าที่เค้าบอกว่าเดินทางไปกลับใช้เวลา 4 กม. พวกเราเลยเลือกวิธีการนี้ ตอนแรกที่เริ่มเดินทางต่างคนต่างสนุกสนาน รื่นเริง แจ่มใส แต่พอเดินทางไปซักพักก็เรอ่มเหนื่อยกับทางเดินที่ชันไปราบเรียบเหมือนกับช่วงแรกที่เดิน ทุกคนเดินด้วยความเหน็ดเหนื่อย... จนในที่สุด.. เราก็ถึงเป้าหมายของพวกเรานั่นคือ... นั่นคือ... น้ำตกเจ็ดคตใหญ่
เราเริ่มเดินลงไปเล่นน้ำกัน ตามด้วยธรรมเนียมเดิมๆ ของเรานั่นคือ การถ่ายรูป แต่ว่า.. ทันใดนั้นเองแปตของกล้องถ่ายรูปก็หมดลงหลังจากที่ เราถ่ายรูปไปเพียงแค่รูปเดียวเท่านั้น ทุกคนเลยเศร้าๆกัน
และลงเอยด้วยการที่ใช้กล้องมือถือของชาญถ่ายรูป เล่นน้ำกันซะพักใหญ่เราก็เดินทางกลับที่พักกัน โดยเดินทางกลับในทางเดิมที่เรามากัน โดยเดินย้อนในเส้นทางเดิืม ในขากลับนี้นั่นเอง ทุกคนก็เหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางมา ในขากลับนี้ทุกคนดูอ่อนล้ามากๆ โดยเฉพสะเอื้อมถึงกับร้องไห้ออกมาเลย แต่ทุกคนก็สามารถเดินทางกลับถึงที่พักได้อย่างเรียบร้อยดี

สัมมนาปลายปี@ingres(Thailand)...วันแรก

เมื่อวันที่ 8-11 ธันวาคม ที่ผ่านมาได้ไปสัมมนาปลายปีของบริษัท ที่จังหวัดสระบุรี (อ.แก่งคอย) เรามาเริ่มตามรอยการสัมมนา+เที่ยว ครั้งนี้ได้เลยยยย
เริ่มวันแรกเรามา start กันที่ office ของบริษัทที่ตึก unicon กำหนดการของเราึคือเริ่มออกเดินทางเวลา 10.30 (ตามที่ได้ตกลงกันไว้) แต่จริงๆแล้วนั้นกว่าจะออกเดินทางจริงก็เวลา 11.20 (เพราะว่ารอไพ่ จากพี่จิว ซะงั้น) เมื่อเราออกเดินทางด้วยรถเน (toyota wish) ซึ่งมีทั้ง 5 คนด้วยกัน คือ เน โบ้ เอื้อม หญิง และอั๋น เราออกเดินทางมุ่งตรงไปยัง จ.สระบุรี (สถานที่ท่องเที่ยวสามารถไปดูกันได้ที่ ททท)
สถานที่แรกที่เราไปแวะเพื่อทานอาหารกลางวันคือที่ฟาร์มโชคชัย เพื่อกินสเต็ก พอเข้าไปก็ดูๆๆแล้วก็สั่ง ไปเตะตาที่ newzealandsheep แต่ติดที่ราคาเท่านั้นถ้าตูสั่งมาตังหมดแน่เลย เลยไปดูอย่างอื่น ก็เจอ พรีเมียมสเตลาร์บียอง (คืออะไรไม่รู้เหมือนกันเห็นชื่อมันเท่ดีเลยสั่ง และอีกอย่างไม่กินเนื้อเลยตัดเมนูออกไปได้เยอะ)
พอทานเสร็จเราก็ออกจากฟาร์มโชคชัยมุ่งหน้าไปต่อโดยที่เป้าหมายของเราคือ ทุ่งทานตะวัน, อุโมงค์ต้นไม้, ไร่องุ่น ขับไปขับมาก็ผ่านที่ที่พวกเราคิดว่าเป็นอุโมงค์ต้นไม้ แต่....ทำไมมันแค่นั้นอะ..จบ

ขับไปขับมาก็ไปแวะที่ไร่องุ่นคุณมาลี ซึ่งเอื้อมได้ซื้อน้ำองุ่น (กินแล้วน้ำองุ่นจริงๆ เข้มข้มมาก จนเข้มข้นเกินไป และสุดท้ายขวดที่เอื้อมซื้อมาก็กินกันไม่หมดเททิ้งซะงั้น) ที่ไร่องุ่นนี้มีกวางสายพันธุ์เวียดนามด้วย แลก็ไปถ่ายรูป (ตามเคย) กับองุ่นลูกน้อยยย






ต่อไปตั้งใจว่าจะไปทุ่งทานตะวันกันแต่..... ขับไปขับมาก็ไปเขื่อนป่าสักซะงั้น เลยไปแวะให้อาหารปลา+ถ่ายรูปที่เขื่อนกัน

สักพักก็เดินทางต่อซึ่งคราวนี้เราตั้งใจกันว่ายังไงก็ต้องไปทุ่งทานตะวันให้ได้ ...และแล้ววเราก็ไปเจอทุ่งทานตะวันทุ่งหนึ่งที่พวกเราลงมติว่าที่นี่แหละ (ที่จริงตามเส้นทางที่ผ่านมาก้มีทุ่งทานตะวันมากมายแต่มันไม่สวยเลยไม่ได้แวะกัน) พอลงไปถ่ายรูป เอ่อ ทำไมมันเศร้าๆ อะ ดอกทานตะวันไม่บานอย่างที่คิดเอาไว้ แค่ถ่ายรูปออกมาแล้วก็สวยดีนะ
เสร็จแล้วเราก็เดินทางไปสู่ที่พัก ซึ่งตอนเดินทางเข้าไป ดู 2 ข้างทางพบว่า....นี่เรามาอยู่ในป่าเลยหรอ ท่าทางจะหนาวมากๆ เลยทีเดียว พบไปถึงบ้านเป็ยบ้านไม้ อากาศหนาวเพราะว่าอยู่ในป่าแถมด้วยช่วงนี้เป้นช่วงฤดูหนาวด้วย และอีกพักนึงชาญกับเต้ยก็ตามมาถึงที่พัก (2 คนนี้มาจากตลาด) รวมแล้วพักบ้านหลังเดี่ยวกับถึง 6 คน

ปล กลางคืนออกมาดูดาวด้วยล่ะ เยอะมากมาย สวยอีกต่างหาก

Monday, December 04, 2006

ออกค่าย

เมื่อวันก่อน (2 ธันวาคม) ได้ไปออกค่าย (เที่ยว) ที่จันทบุรี โดยเพื่อนที่เป็นคนจันทบุรีชวนไป ค่ายนี้จุดมุ่งหมายคือ แนะแนวการศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยให้กับน้องๆ ในระดับมัธยมในจันทบุรี โดยมีพี่ๆที่เป็นคนจันทบุรี ที่กำลังเรียนในมหาลัยต่างๆ มาช่วยแนะแนว ตอบข้อสงสัยต่างๆ ให้กับน้องในระดับมัธยมในจันทบุรี
การไปค่ายครั้งนี้ใช้เวลา 2 วัน

โดยรวมแล้วผมว่าค่ายนี้เป็นค่ายที่ดี เป็นค่ายที่ควรมีการจัดขึ้นอย่างต่อเนื่องและจัดขึ้นในทุกๆ จังหวัด โดยพี่ๆ จังหวัดนั้นๆ ที่มีประสบการณ์ เพื่อเป็นการให้น้องๆ ได้เห็นภาพคร่าวๆของการศึกษาต่อในด้านต่างๆ
ในความคิดส่วนตัวของผมคิดว่าในแต่ละจังหวัดน่าจะมีการจัดกิจกรรมแบบนี้กัน เพื่อเป็นช่องทางการแนะนำน้องๆ ในจังหวัดที่เป็นถิ่นกำเนิดของท่านเอง

Thursday, November 30, 2006

D language

พอดีเมื่อวันก่อนได้ไปอ่านที่ webboard รุ่นน้อง CP30 ได้อ่านเจอการจัดอันดับของ programming language ที่นี่ ได้ดูแล้ว เฮ้ย มีภาษาที่ขึ้นมา 13 อันดับ อยู่ที่อันดับที่ 14 นั่นก็คือ ภาษา D จึงเกิดความอยากรู้ว่ามีภาษานี้ด้วยหรออ
ภาษา D หรือ D language เป็นภาษาแบบ object-oriented ซึ่งเจ้าตัวภาษา D เป็นตระกูลเดียวกับ C ซึ่งเจ้าตัว D นี้ถูกพัฒนา ปรับปรุงมาจาก C++ ในการพัฒนานี้ได้พัฒนาให้คล้ายกับภาษา java, C# (มีหลักการ object-oriented, garbage collection) และ D language open source too

เวปที่น่าสนใจ http://www.osnews.com/story.php?news_id=6761
D language open source at http://www.dsource.org
น่าสนใจมั้ง :) http://www.dprogramming.com

Tuesday, November 28, 2006

14 best in life

1. ศัตรูที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดในชีวิตเรา คือ ตัวเราเอง
The most formidable enemy in one's life is oneself

2. ความล้มเหลวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตเรา คือ ความอวดดี
The biggest failure in one's life is self-important.

3. การกระทำที่โง่เขลาที่สุดในชีวิตเรา คือ การหลอกลวง
The unwiset act in one's life is deceit.

4. สิ่งที่แสนสาหัสที่สุดในชีวิตเรา คือ ความอิจฉาริษยา
The most miserable act in one's life is jealousy.

5. ความผิดพลาดมหันต์ที่สุดในชีวิตเรา คือ การยอมแพ้ตนเอง
The gravest mistake in one's life is self-abundonment.

6. สิ่งที่เป็นอกุศลที่สุดในชีวิตของเรา คือ การหลอกตัวเอง
The most sinful act in one's life is self-deception.

7. สิ่งที่น่าสังเวชที่สุดในชีวิตเรา ก็คือ การถดถอยของตัวเอง
The most pitiful temperament in one&rsquo's life is self-abasement.

8. สิ่งที่น่าสรรเสริญที่สุดในชีวิตเรา ก็คือ ความอุตสาหะวิริยะ
The most admirable spirit in one&rsquo's life is perserverance.

9. ความล้มละลายที่สุดในชีวิตเรา ก็คือ ความสิ้นหวัง
The most complete bankruptcy in one&rsquo's life is despair.

10. ทรัพย์สมบัติที่มีค่าที่สุดในชีวิตเรา คือ สุขภาพที่สมบูรณ์
The greatest wealth in one&rsquo's life is health.

11. หนี้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตเรา คือ หนี้บุญคุณ
The heaviest debt in one&rsquo's life is a debt gratitide for other's help.

12. ของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตเรา คือ การให้อภัยและความเมตตา
The groundest gift in one&rsquo's life is forgiveness and kindness,

13. ข้อบกพร่องที่ใหญ่หลวงที่สุดในชีวิตเรา คือ การมองโลกในแง่ร้ายและไร้เหตุผล
The biggest shortcoming in one&rsquo's life is permissism on unreason.


14. สิ่งที่ทำให้อิ่มอกอิ่มใจมากที่สุด คือ การให้ทาน
The greatest gratification in one&rsquo's life is alms giving

Tuesday, November 21, 2006

รู้จักกับผู้สร้างตำนาน “Ctrl+Alt+Delete” อันโด่งดัง

"เอาประวัติของ David Bradley มาแปะ" ..ที่มามาจาก fw mail



คอนโทรล (Ctrl) ออลติเนต (Alt) และดีลีท (Delete) คือคำสั่งยอดฮิตสำหรับจัดการกับคอมพิวเตอร์ ที่ไม่สามารถควบคุมได้ที่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ทั่วไปรู้จักกันดี
โดยทั้งสามปุ่มนี้จะต้องกดพร้อม ๆ กัน จากนั้นระบบจะทำการบูตเครื่องใหม่ ซึ่งทั้งสามปุ่มนี้ เป็นที่รู้จักและยอมรับอย่างแพร่หลายมาตลอด 10 ปีที่คอมพิวเตอร์มีบทบาทกับชีวิตของมนุษย์เรา

“เดวิด บรัดเลย์ (David Bradley)” หนึ่งในพนักงานจากยักษ์ใหญ่สีฟ้า “ไอบีเอ็ม” เขาคือผู้คิดค้นโค้ดคำสั่งดังกล่าว โดยใช้เวลาเพียงแค่ 5 นาที ในการเขียนโค้ดคำสั่ง แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่า เขาได้สร้างคำสั่งที่ตรงใจผู้ใช้และจำเป็นมากที่สุดคำสั่งหนึ่งเลยทีเดียว

บรัดเลย์เข้าร่วมงานกับไอบีเอ็มเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1975 ในตำแหน่งวิศวกร ประจำอยู่ที่โบคา ราตัน รัฐฟลอริด้า จากนั้นในปี 1980 เขาคือทีมงาน 1 ใน 12 คนของไอบีเอ็มที่ปลุกปั้นคอมพิวเตอร์พีซีขึ้นมา ซึ่งนั่นทำให้เขาย้ายมาทำในส่วนของการวิจัยและพัฒนาให้กับไอบีเอ็ม

โดยในยุคเริ่มแรกของพีซีนั้น พวกเขาจำเป็นต้องออกแบบให้มันใช้งานได้ง่ายที่สุด รวมถึงวิธีการรีสตาร์ทเครื่องคอมพิวเตอร์ ในกรณีที่มันทำงานผิดพลาด หรือเกิดแฮงค์ขึ้นมานั่นเอง และโค้ดคำสั่ง Ctrl + Alt + Delete ก็คือหนึ่งในหลาย ๆ คำสั่งที่บรัดเลย์คิดขึ้นมาได้

“ในตอนนั้นผมไม่ทราบหรอกว่ามันจะกลายเป็น คำสั่งสำคัญของคอมพิวเตอร์พีซีในอนาคต เพราะว่าผมก็ต้องคิดคำสั่งต่าง ๆ อีกมากมาย นอกเหนือจาก Ctrl+Alt+Delete แต่ปรากฏว่าคำสั่งดังกล่าวนี้ เป็นที่รู้จักมากที่สุด”

แต่ก็อาจกล่าวได้ว่า ชื่อเสียงที่โด่งดังของเขานั้น ขึ้นอยู่กับความผิดพลาดของคนสร้างโปรแกรม ว่าจะสร้างพลาดมากน้อยเพียงไร โดยเขากล่าวว่า “ผมอาจจะเป็นคนสร้างมันขึ้นมา แต่บิล เกตต์ คือคนที่ทำให้มันเป็นที่รู้จัก” ซึ่งการสรรเสริญของบรัดเลย์ต่อบิล เกตต์ครั้งนี้ ทำให้เจ้าของค่ายยักษ์ใหญ่อย่างไมโครซอฟท์ ผู้สร้างซอฟต์แวร์Microsoft’s Windows ชื่อดังถึงกับหัวเราะไม่ออกมาแล้ว เพราะอีกนัยหนึ่งก็คือการตอกย้ำให้เห็นถึงความผิดพลาด ในการทำงานของซอฟต์แวร์ของบิล เกตต์นั่นเอง

ปัจจุบัน บรัดเลย์มีอายุ 55 ปี และได้ลาออกจากไอบีเอ็ม บริษัทที่เขาใช้เวลาร่วมด้วยนานเกือบทั้งชีวิต เป็นระยะทางทั้งสิ้น 28.5 ปีแล้ว จากนั้นรายงานระบุว่า เขาจะใช้เวลาหลังการเกษียณตัวเองในการสอน นักศึกษาให้กับมหาวิทยาลัยนอร์ท แคโรไลน่า

Monday, October 02, 2006

หน้าที่ความเป็นมนุษย์

บทนำ blog นี้ได้นำสิ่งที่ฟังจากคุณโสภณมา (ตามสิ่งที่ผมจำได้) บวกกับสิ่งที่ผมคิดเข้าไป

พอดีเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาได้ดูรายการ the icon แขกรับเชิญที่มาก็คือ คุณโสภณ สุภาพงษ์ ตอนแรกที่เปิดไปเจอก็ดูๆๆ คิดว่าวันนี้ใครมาเป็นแขกรับเชิญนะ เพราะทุกทีรายการนี้เชิญแขกรับเชิญมาล้วนแต่เป็นบุคคบที่มัชื่อเสียงทั้งสิ้น พอเปิดมาเจอก็ฟังไปสักพัก พอดีคุณโสภณเล่าเรื่องที่ พล.อ. เปรม ได้ไปพบกับคุณโสภณที่ห้องทำงาน ซึ่งคุณโสภณบอกว่าตอนนั้นคุณโสภณ ก็ไม่รู้ว่าใครเข้ามาที่ห้องทำงาน แต่ไม่ใช่ว่าคุณโสภณ ไม่รู้จัก พล.อ. เปรม นะ คุณโสภณ รู้จัก พล.อ. เปรม ซึ่งขณะนั้น พล.อ. เปรม เป็นนายกรัฐมนตรี แต่คุณโสภณ ไม่เคยพอตัวจริงของ พล.อ. เปรม เลยไม่รู้ว่าท่าคือ พล.อ.เปรม พล.อ.เปรม มาถึงห้องทำงานของ คุณโสภณ แล้วก็ได้บอกว่าวันไหนว่างๆ ไปทานข้าวด้วยกัน ซึ่งพอไปทานข้าวด้วยกัน พล.อ. เปรม ได้ชวน คุณโสภณ มาทำงาน ซึ่งพล.อ.เปรมบอกว่า (ประมาณว่า) คนจนยังมีอีกเยอะแยะมากมาย เรามาชวนกันแก้ปัญกาของคนยากจนดีกว่าไหม ที่ผมพูดถึงตรงนี้ก็เพราะว่าผมคิดว่าคุณโสภณเป็นบุคคลท่านหนึ่งที่มีความสามารถ พล.อ.เปรมถึงเรียกมาร่วมงานด้วย บวกกับสิ่งที่ผมฟังตรงนี้เป็นสิ่งเริ่มที่ที่ให้ผมฟังคุณโสภณต่อ (ไม่เปลี่ยนช่อง) จนได้แง่คิดอะไรบางอบ่างเพิ่มขึ้นมา

คุณโสภณ กล่าวว่าสมองมนุษย์เราแบ่งได้เป็น 3 ส่วนใหญ่ๆ คือ ส่วนในสุดเรียกว่า
  • เลฟทาเรีย (ไม่ีรู้เขียนถูกไหม) เป็นสมองที่อยู่ด้านในสุด มีขนาดเล็ก สมองส่วนนี้เป็นสมองที่สัตว์เลื้อยคลานทั่วไป สมองส่สวนนี้สั่งการให้มนุษย์ทำตามสัณขาตญาณ อารมณ์
  • แมมมาเลีย เป็นสมองที่อยู่ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ซึ่งสมองส่วนนี้ทำใ้มีความจำ เช่นสุนัข ทำให้สุนัขสามารถฝึกได้
  • นีโอคอนเทก สมองส่วนนี้เป็นส่วนนึกคิด จิตสำนึก สมองส่วนนี้เป็นส่วนที่ใหญ่ที่สุดของมนุษย์ ที่มนุษย์มีความคิด พัฒนาการ ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ก็เป็นเพราะสมองส่วนนี้ และสมองส่วนนี้ทำให้มนุษย์ต่างจากสัตว์ทั้วไป
ซึ่งสมองส่วนไหนถูุกใช้งานมากแล้วสมองส่วนนั้นๆ ก็จะมีการขยายขนาดมากขึ้น (ใหญ่ขึ้น) ซึ่งสอดคล้องกับที่ว่า ถ้าใครมีจิตสำนึกมากๆๆ ใช้ความคิด คนคนนั้นเวลาจะทำอะไรก็ใช้ใช้จิตสำนึกก่อน ก็้เพราะว่าเค้าใช้จนเป็นนิสัย แต่ที่มาจริงที่ทไให้เค้าเป็นคนเช่นนั้นเพราะว่า การที่เึค้าใช้สมองส่วนนีโอคอนเทกมากๆ ทำให้สมองส่วนนีโอคอนเทกซ์ ใหญ่จึงจึงทำให้เป็นคนเช่นนั้น หรือในอีกแง่หนึ่งคือ คนใดใช้่แต่อารมณ์ หรือสัณชาตญาณ สมองส่วนเลฟทาเลียก็จะโต คนคนนั้นก็จะเป็นที่มใช้แต่อารมณ์ ก็ตรงกับที่ว่าใครใช้แต่อารมณ์แล้วคนคนนั้นก็จะติดนิสัยการใช้อารมณ์ ทำให้เวลามีอะไรเกิดขึ้นก็จะใช้แต่อารมณ์ ซึ่งไม่ใช่ว่าเค้าติดนิสัยการใช้อารมณ์แต่เป็นเพราะเค้ามีสมองส่วนเลฟทาเลียใหญ่มากขึ้น ความคิดของคุณโสภณตรงนี้ทำให้สิ่งที่ผมเคยคิดเอาไว้ว่าใครที่ทำเช่นไรบ่อยๆ ก็จะเป็นคนเช่นนั้นผมคิดมาโดยตลอดว่าเป้นเพราะเค้าทำบ่อย รวมทั้งเค้าเป็นคนเช่นนั้นมาก่อน เค้าจึงเป็นเช่นนั้น แต่ที่จริงมีสื่งที่อธิบายได้นั้นก็คือสมองนั่นเอง เขียนตรงนี้ทำให้ผมนึกถึงอีกเรื่องหนึ่งที่คุณโสภณพูดเอาไว้คือเมื่อเราใช้สมองส่วนใดมากๆๆ (ทำเช่นไรมากๆ) แ้ล้ว นอกจากจะทำให้สมองส่วนนั้นใหญ่ขึ้น (เราเป็นคนเช่นนั้น) ยังทำให้นิสัยอย่างนั้นถูกถ่ายทอดไปยัง DNA ซึ่งถูกส่งต่อไปยังลูก หลาน ได้ นี่แหละถึงมีคำที่บอกว่า "พ่อแม่เป็นอย่างไร ลูกก็เป็นอย่างนั้น"

คุณโสภณ ยังกล่าวอีกว่าคนเราแบ่งได้เป็น 6 ระดับ แต่ที่เค้าพูดถึงจริงๆ ในรายการมีแค่ 3 ระดับเอง คือ
ระดับแรกคือคนที่ใช้ อำนาจ เงิน อำนาจคือนาย เงินคือ ทุน หรือก็ นายทุนนั่นเอง
ระดับถัดมา คือคนที่ใช้ เหตุผล
ระดับถัดมาคือคนที่ใช้จริยธรรม ความรัก

แม่รักลูกแบบความรักไม่มีเหตุผล อย่างที่แม่วิ่งไปช่วยลูกในทะเลตอนที่เกิดซึนามิ (คุณโสภณเล่า) แม่ไปช่วยลูกด้วยความสุขด้วยความเต็มใจแม้รู้ว่าไปแล้วจะเสียชีวิตก็ตาม เพราะว่าถ้าไม่ไปช่วยลูกแล้วปล่อยอย่างนั้น จะทำให้แม่ไม่มีความสุขเลย กลับเป็นทุกข์ด้วย ที่ไปช่วยลูกไม่ใช่เพราะเหตุผลแต่เป็นเพราะแม่รักลูก แต่ผมก็คืดนนะว่าที่แม่ไปช่วยลูกก็เพราะเหตุผลว่าแม่รักลูก แต่ว่าอย่างไรก็ตามที่เรารู้ก็คือแม่ รัก รัก และก็รักลูก
คุณโสภณยังเล่าอีกว่า มีคนนึง (จำชื่อไม่ได้แล้วเหมือกัน) เวลาอวยพรในงานแต่งงานเค้าจะไม่อวยพรว่า "ขอให้ใช้เหตุผลเวลาอยู่ด้วยกัน" อย่างที่คนอื่นส่วนมากเค้าอวยพรกัน แต่จะอวยพรว่าขอให้ใช้ความรักในการอยู่ด้วยกัน นี่แหละ "ความรักเหนือเหตุผล"

Tuesday, August 01, 2006

ย้ายเสร็จแว้วว

ในที่สุดก็ย้าย blog เสร็จเรียบร้อย โดยย้ายจาก boace.exteen มาที่นี่ boace.blogspot

cobertura

cobertura เป็น tool ที่ใช้ช่วยในการ test source code ซึ่งมันจะบอกเราให้รู้ว่า source code เรา บรรทัดไหนยังไม่ได้ถูกทดสอบ
ซึ่งการทดสอบเราสามารถแบ่งตาม code ที่ถูกทดสอบแล้วหรือยังได้เป็น statement coverage ทดสอบให้ครบทุก statement , branch coverage ทดสอบทุกกิ่ง , path coverage ทดสอบทุก path ของ code ที่เป็นไปไดทั้งหมด แต่ก็มีที่อ่านเจออีกก็คือ decision coverage, predicate coverage (อ้างอิงจาก coverage)
อันนี้ก็น่าสนใจดีเอาไปใช้เป็นคู่มือการเขียน cobertura ได้ดีเลย ibm-cobertura

data mining

เริ่มกันเลย data mining เป็นการขุดเอาความรู้ออกจากข้อมูล ลองคิดดูว่าถ้าเรามีข้อมูลจำนวนมาก แต่เราไม่สามารถรู้อะไรได้เลยจากข้อมูลที่เรามีอยู่ ก็เหมือนว่าข้อมูลเรานั้นไม่มีค่าอะไร

association rule คืออะไร
association rule คือกฏของความสัมพันธ์ ในสิ่งต่างๆๆ ย่อมมีความสัมพันธืกัน ข้อมูลบางอย่างบางชนิดก็มีความสัมพันธ์กันเช่นกัน เช่น ปัญหาที่เราเรียกว่า "market-basket" เป็นปัญหาที่เราหาความสัมพันธ์ของสินค้าที่อยู่ในตระกร้าของลุกค้าว่า เมื่อลูกค้าคนหนึ่งๆ ซื้อสินค้าชนิกนึงไปแล้ว ลูกค้ามีโอกาสที่จะซื้อสินค้าอีกชนิดนึงด้วย

เราเริ่มด้วยค่าที่เรียกว่า ค่า support
support คือ ค่าที่เป็นตัวบงบอกว่าสอนค้านั้นๆ หรือสิ่งของนั้นๆ มีความถี่มากน้อยเพียงใด ถ้าพูดถึงในกรณีการซื้อสินค้าก็พูดได้ว่าสินค้าชนิดนั้นๆ ถูกซื้อไปมากน้อยแค่ไหน ซึ่งค่า support นี้เราสามารถคำนวนได้จาก สมการดังนี้
S(X) = |T เป็นสมาชิกใน D และ X เป็นสับเซตของเซต T|/|D|
ซึ่ง D คือ {T1,T2,...,Tn} และ T คือ trransaction หนึ่งๆ
และอีกค่าหนึ่งที่เราใช้กัยยั่นก็คือค่าที่เรียกว่าค่า confident หรือเป็นไทยว่า ค่าความเชื่อมั่น
C(X,Y) = S(X U Y)/S(X)

Algorithm ที่ใช้ในการหา Frequent Itemsets
โดยทั่วไปแล้วจะมีหลาย Algorithim เช่น
1. AprioriTid Algorithm
2. AprioriHybrid Algorithm
3. AIS (Agrawal Imielinski Swami) Algorithm
4. DHP (Direct Hashing and Pruning)
ซึ่ง Algo ที่กล่าวๆ มานี้นล้วนมีพื้นฐานมาจา่กการนำ Algorithm Apriori ไปปรับปรุง

รับปริญญาแว้วว

จบแล้วววว
เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2549 ได้รับพระราชทานปริญญาบัณฑิต จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี โดยจบภาควิชาคอมพิวเตอร์ (เกียรตินิยมอันดับ 2) คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ;)

trip เกาะช้าง

เมื่อวันที่ 12-14 มีนาคม 2549 ไปเที่ยวเกาะช้างมากับเพื่อนๆๆ cp29 มันส์มาก trip นี้ไปกันมากมายเลยทีเดียว 46 เลย ไปถึงวันแรกก็เข้าที่พัก แล้วก็ไปน้ำตก ชื่อน้ำตกอะไรจำไม่ได้แล้วอะ ;) แต่กว่าจะเข้าไปถึงน้ำตก ต้องเดินเข้าไปลึกมากเลย พอไปถึงก็เล่นน้ำ โดดน้ำกันอย่างสนุกสนาน เมื่อเด็กเลย :) น้ำเย็นมากๆ เล่นกันพักใหญ่ก็ต้องกลับ เพราะว่าต้องไปพายเรือต่อ ก็ไปกันกลุ่มแรกเลย ไปพายเรือแคนนู ดีนะเนี่ยที่เคยพายเรือมาก่อน พอพายเป็นบ้างเลยพายไปพอได้ พายออกไปทะเลเลยอะ พายได้สักพักก็ต้องพายกลับเพราะว่าเพื่อนๆๆ อีกหลายคนที่ยังไม่ได้พาย เรือมีน้อยต้องแบ่งๆๆ กันพายเลย พอเอาเรือไปคืนแล้วก็ลงน้ำต่อเลย ตอนลงน้ำเกือบโดนหอยแมลงภู่ที่เค้าเลี้ยงเอาไว้แน่ะ ดีนะที่เค้าบอกก่อน เลยระวังตัวเอาไว้ แต่ก็มีเฉียดๆๆ ไปหลายทีเลยอะ ก็ว่ายน้ำไปอีกฝั่งอย่างทุลักทุเลพอควร ก็ไปเตะบอลชายหาด เตะกันประมาณ 10 คนได้อะ เตอะไปเตอะมาได้แผลมาหลายแผลเลย เพราะโดนทรายมันขีด แต่ก็มันมากๆๆ ยิงเข้าไป 3 ฟอร์มวันนั้นฮอทมากๆๆ พอเตะบอลเสร็จก็ไปกนข้าว แต่ก็กินไม่ค่อยลง อาจเป็นเพราะพึ่งเตะบอลมาเหนื่อยๆ ก็ได้มั้งอะ แล้วต่อด้วยไปดูหิ้งห้อย (ที่ป่าชายเลนมั้งอะ อันนี้มั่วเอาอะ :) ) พอดีวันนั้นพระจันทร์เต็มดวงเลยออกจะสว่างหน่อย แต่ก็เห็นหลายตัวเลยทีเดียว ตามต้นไม้ วันแรกก็มีกิจกรรมแค่นี้ หรอ ต้องบอกว่าขนาดนี้เลยหรอ แล้วก็กลับที่พัก พออาบน้ำเสร็จ ก็ไปเดินชายหาดตอนประมาณ 5 ทุ่มได้อะ ชอบมากๆๆเลยอะ ทั้งลมดี มีเสียงคลื่นนิดนึง บรรยากาศเป็นใจมากๆๆ เดินอยู่สักพักก็เริ่มคิดว่าทำอะไรดีนะ และแล้วก็คิดได้เลยว่า จะ.......กลับที่พักไปนอน และแล้วก็จบวันแรกของการไปเที่ยวเกาะช้าง เดี๋ยวมาเขียนต่อนะครับบ

วันที่ 2 ของการไปเที่ยวเกาะช้าง (หลังจากไม่ได้เขียนมานาน ลืมเหมือนกันนะนี่) วันนี้พอตื่นเช้ามาก็ไปกินอาหารเช้าเป็นไข่ดาว กับแฮม และก็โอวันติน ก็ไปนั่งกินชายทะเล ลมดี บรรยากาศดี (อีกแล้ว :) ) พอทานเสร็จก็ไปที่ห้องพักเพื่อเตรียมของ เพราะวันนี้เราจะไปดำน้ำกัน (แต่ไม่รู้เลยว่าไปดำน้ำที่เกาะอะไรบ้าง ;) ) ซึ่งต้องนั่งรถไปขึ้นเรือที่ท่าเรือ นั่งรถไปเหมือนนั่งรถไฟเหาะยังไงอย่างนั้น ถนนสุดยอด พอไปถึงท่าเรือก็ขึ้รเรือ เรือเป็นประมาณว่าเรือประมง ลำขนาดปานกลาง พอไปถึงเรือมีคนอยู่พอควร แต่พอพวกเรา (cp29) ขึ้นไปเรือนี้เป็นของเรา 555 ระหว่างที่นั่ง (เดินไปเดินมาบนเรือ) เพื่อนๆ ต่างก็ถ่ายรูปกัน กล้องมีกว่า 10 ตัวได้ และแล้วเราก็ถึงจุดดำน้ำจุดแรก


ไม่ได้เขียนนานเลยมาเขียนต่อและ วันที่ 2 นี้ดำน้ำทั้งวันเลย ไปดำหลายจุดเลย แต่จำชื่อไม่ได้เลยว่าไปดำที่เกาะไหนบ้าง :0 รู้สึกและเห็นได้อย่างชัดเจนว่าดำขึ้น เฮ่อ มีบางจุดดำน้ำ ตอนที่เรือจอดอยู่ก็กระโดดน้ำเล่น (ไม่ได้คำนึงถึงอายุเลย ;) ) ไปกระโดดซะสูง 6 เมตรได้ โดดไป 3 รอบได้ มันส์โคตร กลับมาจากดำน้ำนี่เหนื่อยมาก แต่ก็ยังมีแรงไปเดินชายหาดตอนกลางคืนเช่นเดิม กลับจากเดินยังเตรดเตรไปไปมามากว่าจะได้นอน ตี 2 ได้ (ดึกกว่านั้นมั้ง) วันรุ่งขึ้นตื่นมา 10 โมงกว่าตื่นมาก็กลับเลย กว่าจะถึง กทม ก็ ทุ่มได้และ ก็เป็นอันเสร็จสิ้น trip เกาะช้างงงงง

เป็น trip หนึ่งที่สนุกมากกเลย ผสมกับความเศร้าที่ต้องจากเพื่อนๆๆ แล้ว

เริ่มต้น


start ได้ ณ วันที่ 1 สิงหาคม 2549